อร่อยแน่ เพราะแม่ดี
ข้าวสวย ทุกอย่างละเมียด อิ่มตา อิ่มท้อง อิ่มใจ
ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว ฉันพบกับคู่รักนักสะสม พวกเขาสะสมของเก่าและงานศิลปะ ที่ไม่ใช่แค่ชิ้นสองชิ้น แต่ว่ากันเป็นโกดัง สะสมไปเรื่อยๆ เขาเล่าให้ฉันฟังว่า ไปเจอที่ติดริมน้ำแปลงเล็กสวย และพวกเขาจะ สร้างบ้านกัน เอาไปเอามาพวกเขาก็เกิดอาการมันส์มือ จากที่แปลงเล็ก บ้านที่คิดจะปลูกอยู่กันเอง แปลงร่างกลายเป็น Boutique Hotel ชื่อ Marndadee Heritage River Village มีทั้งโซนหลองข้าวเก่าติดแม่น้ำ เพื่อให้คนที่มาพักได้สัมผัสบรรยากาศแม่ปิงยามเช้าในหลองข้าวโบราณถือเป็นการย้อนยุค โซนตึกโคโลเนียล และ ซิโนโคโลเนียล ที่พักเหล่านี้ปลูกล้อมรอบนาข้าวผืนเล็ก ห้องทุกห้องตกแต่งด้วยของเก่าที่แทบจะไม่ซ้ำชิ้นกัน จัดวางและควบคุมด้วยตัวเองดังนั้นห้องแต่ละห้องจึงตกแต่งไม่เหมือนกัน นอกจากนี้คู่รักทั้งสองยังมีพลังเหลือเฟือ ทำส่วนต้อนรับ ร้านอาหาร ห้องจัดเลี้ยง และสปาอีกด้วย ทุกอย่างที่พูดถึงนี่งอกขึ้นมาจากคำว่า “บ้านหลังเดียว” สิ่งที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้พวกเขามีแรงกายแรงใจ ในการทำงานทุกๆวันด้วยสองมือของตัวเอง คือแรงใจจากคุณแม่ที่รัก ก็เพราะความรักจากแม่จึงทำให้พวกเขามีทุกวันนี้
บ่ายของวันที่ร้อนจัดวันหนึ่ง เจ้าของโรงแรมคือ คุณต๋อยจึงได้ชวนฉันไปนั่งดิื่มด่ำกับบรรยากาศที่เธอและ คุณอู๋สามีสุดที่รักได้ช่วยกันรังสรรค์ ขึ้นมาด้วยความตั้งใจทุกกระเบียดนิ้ว
เปลญวนน่านอนใต้หลองข้าวริมน้ำ สงบ ร่มรื่น สบาย และเป็นส่วนตัว
อ่างอาบน้ำวิคตอเรียในห้องทุกห้อง แต่ฉันชอบอันที่อยู่ในตึกลานนาโคโลเนียลที่สุด เพราะ เป็นอ่างอาบน้ำนอกระเบียง เซ็กซี่นิดๆ
พูดถึงห้องพักมาแล้ว มาดูกันที่ห้องอาหารบ้าง ห้องอาหารของโรงแรมอยู่ชั้นสอง ต้องเดินผ่านโซนของ Concierge แล้วขึ้นบันได ไปชั้นสอง จึงจะเจอ Reception และสระว่ายน้ำแร่ ริมแม่น้ำปิง เดินข้ามาอีกนิดถัดจาก แผนกต้อนรับจึงจะเป็น Marnda Brasserie
Marnda Basserie เริ่มมาจากความคิดที่คุณต๋อยอยากจะทำร้านอาหารที่ให้ความรู้สึกเหมือนมากินเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน ที่ให้ทั้งความอร่อย ปลอดภัย สดและ สะอาด เพราะเมื่อบริเวณโรงแรมอยู่ใกล้กับจุดที่ชาวบ้านเลี้ยงปลาทับทิม จึงทำให้ที่นี่มีปลาสดๆ เมนูต่างๆจึงเริ่มต้นจากความสดของวัตถุดิบที่มี ทั้งนี้เชฟก็พยายามปลูกผักสวนครััวเอง เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่สดเสมอตามที่ต้องการ
ปลาทับทิมต้มกิมจิ
เมนูน่าสนใจคือปลาต้มกิมจิ เป็นการพบกันของปลาทับทิมเนื้อแน่นๆสดๆ และกิมจิทำเอง ส่วนหนึ่งปั่นต้มกับปลาและอีกส่วนหนึ่งก็ใส่ไปเป็นใบๆ จึงให้น้ำที่ข้น หอม ได้รสเปรี้ยวและความเผ็ดจากกิมจิ แต่ก็มีกลิ่นของขิง ตะไคร้ เพื่อลดความคาวของปลา ฉันขอเรียกว่าแกงส้มก็แล้วกัน รสชาติมันกลมกล่อมมากค่ะ ไม่มากไม่น้อย กำลังงาม
อีกหนึ่งจานที่อร่อยถูกใจคือปลาราดครีมซอส
ปกติเวลาเขียนฉันจะเรียงตามคอร์ส แต่สำหรับมารดาบราสเซอร์รี่ ฉันขอเรียงตามความชอบก็แล้วกัน ปลาน้ำจืดนั้นท้าทายความสามารถของคนทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะส่วนใหญ่อาหารตะวันตกหรืออาหารญี่ปุ่นจะมีการปรุงแต่งค่อนข้างน้อย มักจะใช้ปลาทะเลเป็นส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้ปลาน้ำจืดเพราะจะมีกลิ่นและเมือก มีรสสัมผัสเฉพาะตัวซึ่งไม่เหมาะกับอาหารตะวันตกและญี่ปุ่นมากนัก ดังนัั้นการประกอบอาหารด้วยปลาน้ำจืดให้ไม่มีกลิ่นดินในเนื้อปลาและไม่มีเมือกคาว จึงเป็นงานหินมาก แต่ความสามารถของเชฟที่นี่สามารถ ขจัดข้อด้อยของปลาน้ำจืดไปได้หมด จนไม่อยากจะเชื่อว่า ปลาราดซอสที่เห็นจะทำมาจากปลาทับทิม สรุปว่า อร่อยค่ะ อคติที่มีต่อปลาทับทิมค่อยๆหายไปทีละน้อยๆ
แกงเขียวหวานเนื้อน่องลายหั่นเต๋า
จานถัดมาคือ แกงเขียวหวานเนื้อน่องลายหั่นเต๋า แกงถ้วยนี้มีความพิเศษอยู่ที่เนื้อ เนื้อเปื่อยนุ่มแม้จะมาเป็นลูกเต๋า ที่นุ่มเพราะเขาเอาเนื้อไปตุ๋นก่อนแล้วจึงนำมาแกงอีกรอบ ข้อดีของที่นี่ คือ การทำอาหารไทยรสชาติ ไม่หวาน ซึ่งหากินยากมากในเชียงใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เวลาทำอาหารภาคกลางจะติดหวานจัด เพราะคนเหนือคิดว่าอาหารภาคกลางต้องหวาน อันที่จริงเขาใสน้ำตาลนิดหน่อยไม่ได้หวานเจื้อยแจ้วอย่างที่คนเหนือเข้าใจ กินขนมจีนแกงเขียวหวานบางทีนึกว่ากินลอดช่อง มาดูกันว่าที่เหลือกินอะไรไปบ้าง แคลลอรี่พุ่งชนเพดานไปโลกหน้าเลย
แซลมอนคำหวานที่เนื้อยังแน่นเต็มคำ
เนื้อเป็ด ผัดกระเพรากรอบ
ผัดเผ็ดหมูกรอบ จริงๆแล้วชอบจานนี้มาก พริกแกงหอมมาก ปัญหาคือมัวแต่ถ่ายรุปหมูแห้งเลยกินไม่อร่อย สีเหลืองๆขอบจานคือเนื้อมะม่วงค่ะ
ของหวานล้างปาก ทับทิมกรอบมาในลูกมะพร้าว เย็นชื่นใจดี
มารดาดี บารสเซอร์รี่เปิดทุกวัน ขายมื้อกลางวันและเย็น ส่วนแขกที่มากพัก็จะมีอาหารเช้าให้ค่ะ
ไปชมเว็บเขาได้
แผนที่