ฉันมาทักทายโอซาก้าเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเที่ยวน้อยมาก เพราะเที่ยวควบสองประเทศ ป่วยหง่อมมาจากเกาหลี ได้ไปแค่ปราสาทโอซาก้า คิดในใจว่าน่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง…แล้วก็ได้มาจริงๆการมาโอซาก้าครั้งนี้ต่างจากการเดินทางครั้งไหนๆ กล่าวคือมันเป็นการเดินทางเพื่อมาพัก นั่งนิ่งๆ กินรอบๆ โรงแรม ไม่ไปไหน ไม่เก็บแต้ม ไม่ต้องจัดร้านดังก็มีอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง พลาดบ้าง ไม่คิดมาก ค่อยๆเดินช้าๆ มองฟ้ามองคน หิวก็ออกไปเดินเล่น ง่วงก็กลับมานอน…ไม่รีบ
- เริ่มการเดินทาง
- ย่านนัมบะที่รัก
- อาหารประจำถิ่น
- เดินเล่นตลาดคุโรมง
- เดินเล่นย่าน Kitahama
- เดินเล่นที่ Orange Street
- อำลาโอซาก้า
เริ่มการเดินทาง
ออกจากเชียงใหม่ไปเมืองกอกด้วย แอร์เอเชีย ไม่ลืมสั่งชามุกบนเครื่อง มุกเป็นบุกรูปเพชรด้วยดูหรูแพงในราคา 60 บาท เพื่อนบอกว่ามันฮิตมากหมดเร็วมากโอกาสได้กินน้อย แต่…อย่าเสียใจไป เรานั่งแถวที่ 5 มีโอกาสได้กินแน่นอน…และเราเป็นสองแก้วสุดท้าย เราก็รอคอยด้วยความตื่นเต้น ทุกคนแย่งกันสั่งเหมือนอุปาทานหมู่ว่าเราขึ้นเครื่องเราต้องได้กินสิ่งนี้ เจ้าชานี้ลักษณะเป็นชาชงสำเร็จ ที่แบบว่า เอามาเติมอะไรผงๆ คนๆ แล้วเอามาใส่น้ำแข็งอีกที มันก็โอเคนะ แต่ด้วยการรอคอย ด้วยความคาดหวังและเสียงเล่าลือ เราคิดว่ามันจะเจ๋งกว่านี้ มันเหมือนชาใส่คอฟฟี่เมทบะดายๆ (ภาษาเหนือแปลว่าเฉยๆ) เลย 55555 ด้วยความรีบดูดเพราะเขาจะมาเก็บแก้วแล้ว เราก็กินเพชรไม่หมดเหลือเกินครึ่งด้วย~~~นี่อาลัยเพชรมาก
จากดอนเมืองสู่สุวรรณภูมิ เรามาต่อเรือบิน JAL ไปโอซาก้า เดินทางพร้อมข่าวพายุบัวลอยเข้าญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ก็มีพายุฮากีสเข้า ป้าๆ เพื่อนๆ หลายคนก็เป็นห่วงว่าจะเป็นทัวร์ภัยพิบัติ อันที่จริงแล้ว ฮากีสและบัวลอยไม่ผ่านโอซาก้าจ้า เราแค่โดนหางๆ ของมันเท่านั้น อย่างไรก็ดี พายุฝนก็ทำเอาเครื่องบินโต้เมฆสนุกสนาน เรานั่งติดประตูฉุกเฉินจึงได้รู้จักน้องเบียร์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน Japan Airline ที่นิสัยดีน่ารัก อยู่เป็นเพื่อนคุยตลอดช่วง Turbulence คือปลอบขวัญกันไปมาช่วงเครื่องสะเทือน (คงแระแวงว่ามนุษย์ป้าสองคนนี้ อาจจะตกใจเผลอไปเปิดประตูฉุกเฉินเหมือนเคสป้าคนจีนก่อนหน้านี้ก็ได้ ใครจะรู้) ตลอด 1 ชั่วโมง บทสนทนาเป็นไปอย่างสนุกสนาน ก่อนลงเครื่องน้องเขียนการ์ดขอบคุณให้ด้วย …นั่ลล๊าก
ย่านนัมบะที่รัก

นัมบะเมื่อยามเปียกปอน
เราถึงสนามบินคันไซตอนตีห้าครึ่ง ผ่านพิธีการอะไรต่างๆ เอากระเป๋า ตรวจคนเข้าเมือง ก็ร่วม 8.30 แล้วก็จับรถไฟเข้านัมบะ ย่านที่เราจองโรงแรมไว้ ระหว่างทางก็จะเห็นการห่อหุ้มตัวอาคารบ้างประปราย ทุกอย่างทำด้วยความรอบคอบใส่ใจมาก ไม่มีฝุ่นทรายโคลนให้รองเท้าได้เปื้อนเลย ออกจากนัมบะสเตชั่นตัดสินใจเดินหาโรงแรมที่จองไว้เพราะไม่ไกลจากสถานีมาก แล้ว…..ก็หลงสิคะ 55555 เดินวนไปมา ร่วมครึ่งชั่วโมงก็เจอโรงแรม Candeo Hotel เพื่อนเป็นคนจองนางบอกว่า สาเหตุที่จองเพราะได้ราคาดีโรงแรมหรู ด้านบนมีออนเซ็นให้ใช้ฟรี ซึ่งอันนี้ไม่ใช่ประเด็นของเราทั้งคู่ ที่จองโรงแรมนี้เพราะอยู่ไม่ไกลจากสถานีนัมบะ เดินไม่ไกล ที่สำคัญที่สุดคือชัยภูมิด้านอาหารดีโคตรๆ เพราะ มีร้านอร่อยติดๆ กันในรัศมี 1 กิโลเมตร
ด้วยความที่อดหลับอดนอนมาตลอดคืน และคืนก่อนหน้านี้ ทำให้เราถวิลหาเตียงมาก แต่…การทิ้งตัวที่โรงแรมมันกลายเป็นแค่ฝัน เหมือนหมาเห็นปลากระป๋อง เพราะเวลาที่มาถึง คือ 10 โมง แต่เราเช็คอินได้บ่ายสาม จึงใช้ชีวิตเป็นสารแขวนลอยอยู่รอบๆ โรงแรมจนกว่าจะเช็คอินได้ ไม่มีแรงไปทำอย่างอื่นเพราะง่วงมาก เราเลือกทำกิจกรรมเบาๆ คือ ไปกินราเมงข้อสอบ สาขาริมแม่น้ำ ใกล้โรงแรม เพราะร้านนี้เปิด 24 ชม.
ICHIRAN RAMEN

หน้าร้านและข้อสอบที่ทุกคนต้องผ่าน
ร้านนี้ถือว่าเป็นต้นแบบของร้านราเมงคนเหงา ที่ต้องกินข้าวคนเดียวเลยก็ว่าได้ คนไทยจะรู้จักในนามราเมงข้อสอบ ความอร่อยการันตีด้วยความมั่นใจของร้าน ที่ขายแค่เมนูเดียว คือทงคตสึราเมง สามารถ สั่งชาชูพิเศษ สั่งไข่ต้มเพิ่มได้ พร้อมแล้วก็เตรียมเข้าห้องสอบสมัครสอบด้วยตู้กดสั่งราเมงใส่แบงค์ลงไปกดเมนูที่ต้องการพร้อมเครื่องดื่มกดตกลงก็จะได้ตั๋วส่งให้พนักงานอย่าลืมกดเอาเงินทอนด้วย แอนสั่ง ชุดพิเศษสุดแพงสุด 1,560 ¥ มีราเมนธรรรามดา พ่วงด้วยหมูชาชู 4 ชิ้นไข่ออนเซนสาหร่ายสองแผ่นส่วนเพื่อนสั่งราเมนธรรมดาและหมูผัดมิโสะ

ถ้าสั่งเซ็ทพิเศษจะได้ชาชู 6 ชิ้น ในถ้วยสองและเพิ่มมาอีก 4 เคี้ยวกันให้เมื่อยไปเลย
ทีนี้จะมีการแจกข้อสอบ ให้เลือก ระดับความเข้มข้นของซุป ระดับความเผ็ด เอา หรือไม่เอาหมู อันนี้ให้ติ๊กเอา ถ้าไม่เอาก็จะได้ราเมนเปล่ากับต้นหอมและซุป ทำข้อสอบให้ครบทุกข้อ ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกตีกลับมาเติมใหม่เสียเวลา ส่วนน้ำดื่มทางร้านจะมีก๊อกให้เติมกินเอง ถ้าเผ็ดเอ็กซ์ตร้าจะมีพริกมาให้เติมทั้งโถ รสชาตินี่บอกเลยว่าคนไทยจะชอบมาก เพราะ มันข้น มันนัวหอมหวาน ถ้าเทียบกับร้านอื่นๆ กินเสร็จก็รีบออก เพราะมีคนต่อคิวยาวมาก ตอนที่ไป 10 โมงกว่าๆ ถือว่าเวลาดีเพราะไม่มีคนเลยส่วนเวลาอื่นๆต้องต่อคิวตามระเบียบ
Donton Plaza
เอ้อระเหยกินราเมงแล้วก็ยังเช็คอินเข้าโรงแรมไม่ได้ กลับไปโรงแรมที่ Reception ก็วุ่นวาย แล้วฝนก็เริ่มเทลงมาอย่างไม่ปราณี อยากจะไปต่อแถวกินทาโกะยากิกับเขาก็คงหมดหวัง ตัดสินใจไปหาร้านกาแฟกันดีกว่า เห็นร้านกาแฟอยู่ปากทางฝั่งตรงกันข้ามโรงแรม คิดว่าน่าจะนั่งยาวๆ ได้ ยังเหลืออีก 3 ชั่วโมง จากนั้นสาวใหญ่จากประเทศไทยสัญญาณชีวิตอ่อนๆ ก็พากันเดินไปที่ร้านหน้าตาวินเทจเหมือนย้อนเวลาไปเมื่อสามสิบปีก่อน (ให้นึกถึงร้านโบ๊ตสมัยก้านกุ่งรุ่งเรือง) เราสั่งกาแฟ และเลือกขนมที่หน้าตาทนๆ หน่อย มาวางเป็นพร็อบแล้วสลับกันหลับ ใครมาถามก็ให้ตีมึนบอกว่า She’s sick จริงๆ ขนมร้านนี้ก็อร่อยดีงาม แต่กาแฟนี่เหมือนจะเคยอร่อยเมื่อวานนี้ ในระหว่างที่สลับกันหลับและตื่นนั้นก็สังเกตเห็นว่า มีรถทัวร์เข้ามาไม่ขาด เรียกได้ว่า เปลี่ยนคันทุก 15 นาทีส่วนใหญ่เป็นทัวร์จีนจึงได้รู้ว่าตึกที่ร้านกาแฟอยู่นี้อีกสามชั้นด้านบนมันคือที่ขายของให้นักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ เช่น เครื่องสำอาง นาฬิกา ห้างนี้ชื่อ Donton Plazaในห้างนั้นยังแบ่งพื้นที่สอนชงชาโดยคนที่ฟังอยู่นั้นคือทัวร์ไทยกลุ่มใหญ่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้คือญี่ปุ่นขายของเก่งมาก คือมีของตรงทุกกลุ่มลูกค้าขายในตึกนั้น ทัวร์จีนก็ซื้อของแบรนด์เนม และเครื่องสำอางอย่างบ้าคลั่ง คนไทยก็รุมกันซื้อขนมของฝากเหมือนจะเอาไปถมที่
ในที่สุดเวลาแห่งการทิ้งตัวก็มาถึง…Candeo Hotel ชั้น 14 มีวิวเมืองที่สวยมาก ห้องน้ำเล็กแต่ใช้พื้นที่คุ้มไม่รู้สึกอึดอัดมาก นอนเล่นสักพัก ก็ออกไปหาอาหาร หลักการคือไม่ไกลจากโรงแรมมาก เพราะง่วงเหลือเกิน
ปล.ขอแปะแผนที่โรงแรม Candeo ไว้อย่างเดียวนะคะ เพราะที่เหลือก็กินใกล้ๆ โรงแรม เสิร์ชไม่ยากค่ะ
Isomaru Suisan Dotonbori
ร้านนี้มีหลายสาขามาก ถึงตีสี่ โอ้ โห….ตอนเดินเข้าไปที่ร้าน ได้กลิ่นอาหารทะเลปิ้งเท่านั้นแหละ…ขอโทษนะ รสชาติบริสุทธิ์ของญี่ปุ่น…เราคิดถึงน้ำจิ้มสามรสม๊ากกกกกกก เนื่องจากเป็นวันแรก เราจัดเต็มมาก สั่งอาหารแบบไม่ดูราคาด้วย 555555 สิ่งที่ดีงามและ Highly recommended ของที่นี่คือ กระดองปูด้านในมีไข่และครีมตีรวมกัน ขอเรียกมันว่าปูอ่องญี่ปุ่นแล้วกันนะ คือสั่งมากระดองต่อกระดอง ไม่ยั้งเลย ส่วนอาหารทะเลอื่นๆ นั้นได้คะแนนที่ความสด มากินร้านนี้สองครั้ง เฉลี่ยราคาต่อครั้ง ราว 1,500-1,600
ปล. เราไปร้านนี้สองครั้งคนละสาขา ร้านนี้มีที่สาขานัมบะด้วย
ฝนก็ยังตกไม่เลิก โบนัสในวันนี้ คือหลงทางไปห่างจากที่พักหลายกิโล แทบจะทุพลภาพกันเลยทีเดียว ก่อนถึงที่พักแวะร้านสะดวกซื้อปลอบใจตัวเองด้วย Yebisu Premium เบียร์รสนุ่ม บอดี้แน่นกระป๋องสีครีมที่ชอบมานานจากแฟมิลี่มาร์ท แล้วนั่งนวดขาดูวิว กินเบียร์ …หง่อมตามอายุขัย
ตื่นขึ้นมาอีกวันกินอาหารเช้าเบาๆ ที่ห้องด้วยขนมจาก Lawson หอมอร่อย อิ่มเอมจัดได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีวันนี้สัญากับตัวเองว่า….เราจะไม่หลงอีก เป้าหมายของเราวันนี้ คือพิชิตเนื้อดีๆ กิน ต้องได้กินทาโกะยากิ ของขึ้นชื่อของโอซาก้า และโอโคโนมิยากิ …อย่างหลังนี่ไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าเวลาเหลือจะเจียดเวลามากินละกันนะ หลักการของทัวร์ตัวสล็อธญาติผู้พี่ชูชก มีเหมือนเดิมคือต้องอยู่ห่างจากโรงแรมรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตร เพราะขี้เกียจเดินและถ้าอิ่มมากๆเรายังสามารถเดินกลับมานอนที่โรงแรมอย่างสะดวกโยธินอีกด้วย
Kissho beef Steak Daigo
吉祥Group 神戸牛 大吾
ร้านที่เราแวะมากินวันนี้อยู่ใจกลางของนัมบะ แหล่งนักท่องเที่ยว เป็นร้านที่มีเฟนไชส์มากมาย มีสัญญลักษณ์เป็นวัวทองคำเข้าแถวหน้ากระดานเรียง 1 เต้นระบำอย่างร่าเริง ด้วยความหิวและคิดว่ากินที่นี่นิดนึงแล้วค่อยไปต่ออีกที่ เลยไม่ได้มองราคา คือ เดินดุ่ยเข้าไปเลยไม่ดูฟ้าดูฝน เนื้อ 1 จาน ขนาด 80 กรัม ราคาเนื้อ อยู่ที่ 3,900 เยน เป็นส่วนหัวไหล่วัว ย่างเสิร์ฟมาพร้อมกับกระเทียมทอดเกลือ วาซาบิ อีกนิดหน่อย ได้เนื้อหั่นเต๋าราวๆ 7-8 ชิ้น สั่งข้าวเพิ่มอีกถ้วย ราคา 300 เยน รวมโค้ก สาเก มื้อนี้ จ่ายไปร่วม 5,000กว่า เยน สมศักดิ์ศรีเศรษฐีนีไทย ออกร้านมารู้สึกตัวเบาๆ หัวแบะๆ จริงๆ มันคงเป็นราคาปกติของเนื้อโกเบ เกรด A5 เพียงแต่รู้สึกว่าตอนนั้นไปกินที่โกเบรสชาติมันก็ไม่ต่างกัน ในราคา 2,000 กว่าเยนในปริมาณใกล้เคียงกันแค่นั้นเอง
อาหารประจำถิ่น

โอโคโนมิยากิไต้กูลิโกะ
โอซาก้ามีอาหารประจำถิ่นอยู่สองอย่างคือ ทาโกะยากิ และโอโคโนมิยากิ ทาโกะยากินั้นมีที่มาจาก เบสของแป้งทำขนมแบบตะวันตก ถือกำเนิดในสมัยเอโดะปี 1935 ออกมาเป็นของว่างที่ใสปลาหมึกยักษ์ หรือทาโกะ ที่มีมากมายในโอซาก้า ลักษณะเหมือนขนมครกแบบคาวที่มีรูปร่างกลม ทำในถาดเหล็กหลุม ต้องคอยกลับเสมอ จนด้านนอกกรอบเป็นสีทองด้านในยังคงลักษณะเป็นเนื้อครีมๆ อยู่ โรยหน้าด้วยสาหร่ายอาโอโนริ ปลาโอขูดฝอย หรือคัตสุโอะบูชิ และมายองเนส
ส่วนโอโคโนมิยากินั้น พูดง่ายๆ คือเมนูตู้เย็น ชอบอะไร มีอะไรก็ใส่เข้าไปตามใจโดยมีเบสเป็นแป้งเค้ก มีสองประเภทคือ แบบโอซาก้าคือใส่อะไรตามใจฉัน และแบบฮิโรชิม่าตัวแป้งด้านล่างจะบางกว่าแบบโอซาก้าแต่จะเพิ่มเส้นยากิโซบะและไข่ลงไป การราดซอสต่างๆ ก็เหมือนทาโกะยากิ เพราะใช้ซอสและเครื่องแบบเดียวกัน
Acchichi Honpo Dotonbori
ความไม่อิ่มจากร้านเนื้อ ทำให้เราตัดสินใจไปต่อที่ร้านทาโกะยากิ ร้านนี้เป็นร้านที่เล็งไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง คือคิวยาวมากๆ ใกล้ๆ กันเป็นร้านโอโคโนมิยากิที่คนเยอะมากเช่นกัน ฝนยังไม่หยุดตก เห็นคนกินทาโกะยากิ ควันกรุ่นๆ ให้กำลังใจในการต่อคิวมากโข จนกระทั่งมาถึงคิวเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เราเลือกChef’s Recommended เป็นไส้มาโย่กับซอสสูตรทางร้าน จริงๆ มีตัวที่ขายดีคือไส้ซอสซีอิ๊ว…แต่เราเชื่อเชฟ เราคิดว่าเราไม่มีต่อมทาโกะยากิอย่างแน่นอน คือกินที่ไหนก็เหมือนกันไปหมด และเราแยกแยะไม่ได้ว่า อย่างไหนที่เรียกว่าดี ตัวที่ได้มากินนี่ก็โอเคดี แต่บอกตามตรงว่าไม่รู้ว่ามันว้าว หรือเปล่า เลยตัดสินใจไม่กินโอโคโนมิยากิด้วยเพราะคิวยาวไป และน่าจะรสชาติไม่หนี กับทาโกะยากิ เพราะซอสเดียวกันแป้งเดียวกัน ร้านที่เขาแนะนำกันมากมายคือ Ajinoya คิวยาวตลอดเวลา
เดินเล่นที่ตลาดคุโรมง
เมื่อ 4 ปีก่อนตอนมาเที่ยวก็เดินตลาดนี้ทุกวัน แต่ละซอยห้อยปลาต่างชนิดไว้ ซึ่งดีมากทำให้ไม่หลง ครั้งนี้ออกตามหาร้านกาแฟทำมือ ที่ดริปขายเป็นแก้วๆ ตรงใกล้ๆ แยกปลาปักเป้าไม่เจอแล้ว…เสียใจ แต่ยังได้กินส้มอยู่ ตลาดคุโรมงขายทั้งของสดและอาหารปรุงสำเร็จ ราคาไม่แพงมากมาเดินแล้วซื้อผลไม้กลับไปกินที่ห้องก็คุ้มแล้ว
さかえすし東心斎橋店
ซาคาเอะซูชิอบอุ่นเหมือนพ่อมาทำให้กิน
หลังจากกลับมาเอนหลังตามคอนเส็ปท์ทัวร์เกษียณ แล้วก็ตื่นมาหาของกินช่วงเย็น เราเลือกกินซูชิเป็นร้านใกล้โรงแรมแค่สามนาที ร้านนี้ถ้าไปช่วงก่อนเวลามื้ออาหารนิดหน่อยจะดีมาก เพราะคนแน่นเหลือเกิน คนที่มากินส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น ร้านไม่มีชื่อเป็นภาษาอื่นแขวนอยู่ด้านหน้าเลย ข้อดีคืออาหารทุกอย่างสดมาก ถ้าอยากกินซูชิดีๆ ต้องใจเย็นด้วย คนทำในเคาน์เตอร์ดูแล้วไม่มีใครต่ำกว่า 50 เลยรวมกันทั้งร้านน่าจะถึงพันปีอยู่ในขณะที่คุณลุงทำซูชิและซาชิมิอยู่ด้านในก็มีคุณปู่น่ารักๆคอยตรวจงานคิดเงินและเดินยิ้มไปยิ้มมา
ซูชิราคาไม่แพง ชิ้นที่แพงที่สุดน่าจะเป็นไข่หอยเม่นที่เหลือก็สมราคาดีค่ะ เราสั่งซาขิมิ โค้ก และสาเกมาขวดหนึ่ง ซูชิอีก คนละ 9 คำ บวกราคาออกมาคิดเป็นเงินไทยตกเป็นเงินพันนิดๆ หน้าตาซูชิไม่ค่อยประดิษฐ์มาก หน้าตาไม่หรูหราแต่อร่อย
Le Croissant & Strawberry Mania
ขากลับแวะซื้อขนมไว้กินกับกาแฟตอนเช้าที่ห้อง เป็นร้านที่มีล็อกเล็กๆ ติดกันสองร้าน ร้านหนึ่งขายขนมทุกอย่างที่ทำจากสตรอเบอร์รี่ และติดกันขายครัวซองต์ คือหอมมาก เดินๆ อยู่โดนครัวซองต์ดูดเข้าไปเลย พอมาถึงที่ร้านก็จะได้กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่รวมกับกลิ่นครัวซองต์ชวนน้ำลายสอ แม้ว่าจะอิ่มมากแล้ว สำหรับสตรอเบอร์รี่ นั้นชอบน้ำปั่นมากๆ เราซื้อ ไดฟุกุ และ eclairกลับบ้าน ส่วนครัวซองต์นั้น รับ ครัวซองต์รวมมาอุปถัมภ์ ถุงที่ใส่ครัวซองต์มาจะบอกวิธีอุ่นครัวซองต์มาด้วย แต่เราอยู่โรงแรมเลยกินมันทั้งแบบนั้นแหละ รสชาติก็โอเคดี แม้ว่าจะกินหลังจากแช่ตู้เย็นมาก็ไม่ได้แย่ เป็นครัวซองต์ที่เบาหวิวตามลักษณะของเบเกอรี่ญี่ปุ่นทั่วไป ถ้าอุ่นคงอร่อยอยู่ แต่ถ้าเทียบกับครัวซองต์เทพๆ ในเชียงใหม่ เราก็ยังชอบครัวซองต์ของลุงโดมินิกและโจมากกว่า
Gyukatsu Motomura 牛かつもと村難波店.
ตื่นขึ้นมาวันนี้ คิดว่าจะกิน Gyukotsu ให้ได้ เพราะครั้งหนึ่งได้ดูละครเรื่อง The Emperor’s Cook เห็นการทอดเนื้อที่ด้านนอกเคลือบด้วยเกล็ดขนมปังเหลืองทอง และด้านในเนื้อยังแดงฉ่ำ เห็นแล้วอยากกินมาก จริงๆ พูดกับเพื่อนเรื่องนี้หลายครั้งแต่นางทำตัวนิ่งมาหลายวันเพราะไม่ชอบของทอด เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ ในที่สุดวันนี้ก็ยอมบอกว่าเราจะไปร้านที่ขายแต่ Gyukutsu ที่ต้องไปตั้งแต่เนิ่นๆ ไปรอร้านเปิด ใจคิดว่าขนาดนั้นเลยเหรอ…มันจริงค่ะ
เรามารอเป็นคิวแรก หลังจากนั้นไม่กี่นาทีคิวต่อหลังก็ยาวเฟื้อยร้านอยู่ใต้ดิน เดินลงไปด้านล่างมีโต๊ะอยู่ราวๆ ไม่ถึง 10 โต๊ะ มีเก้าอี้นั่งที่บาร์อีกไม่มากนัก พอเดินเข้าไปนั่ง จะมีเตาพร้อมถาดหินร้อน แยกกันคนละชุด ส่วนอาหารมีให้เลือกแค่ 4 เซ็ท คือเนื้อ 1 ชิ้น พร้อม มันสำปะหลังบด (เพิ่ม 100 เยน) เซ็ทถัดไปไม่มีมัน เซ็ทเนื้อสองชิ้น แบบมีมันและไม่มีมัน เราเลือกเซ็ทเนื้อสองชิ้น เพราะเหมาะสมคู่ควรกับการเป็นชูชกที่สุดแล้ว ได้เนื้อมาหน้าตามันไม่เหลืองทองเท่าไหร่ ด้านในดิบ แต่พอเอามาจี่ 1 นาที(รวมเวลาสองข้าง) แล้วเอาเข้าปากเท่านั้น โอ้โห…เนื้อนุ่มฉ่ำด้วยไขมัน บวกกับแป้งกรอบหอมเค็มประแล่ม ไม่ต้องเติมอย่างอื่นเพิ่มเลย กินกับข้าวนี่อร่อยลืมตายไปเลยในราคา 2 เซ็ท 4,300 เยน แนะนำจริงๆ ไปถึงตอน 11.45 กำลังดีนะคะ หลังจากนั้นจะต่อคิวยาว
เดินเล่นย่าน Kitahama
ใช้ชีวิตเป็นดักแด้กินนอนมาหลายวัน ฤกษ์งามยามดี วันนี้ฝนไม่ตก เราจึงออกมาเดินดูถนนหนทาง ร้านรวงอะไรบ้าง อิ่มจากเนื้อทอดมา แล้วง่วงจัด เลยอยากได้กาแฟดีๆ เพราะร้านที่ไปมาส่วนใหญ่กาแฟค่อนข้างจืด เพื่อนศึกษาเส้นทางมาบอกว่าไปนั่งเล่นที่ Brooklyn Cafe ดีกว่า ร้านนี้มีหลายสาขา แต่สาขาที่น่าไปทอดหุ่ยที่สุดคือสาขา Kitahama เพราะอยู่ริมน้ำโดจิมะ มีตึกเก่าสวยๆ น่าไปถ่ายรูปเล่น ที่นี่ร้านเก๋ๆ เยอะมากๆ แต่เป้าหมายของเรา คือ Brooklyn Cafe ต้องไม่แกว่ง
Brooklyn Roaster Company
เดินเข้าไปแล้วจะร้อง โอ้โห…ร้านสวย ขายดอกไม้แห้งด้วย การจัดวาง สีสันต่างๆ เข้ากัน กลมกลืนสวยไปหมด กาแฟก็กลิ่นดีมากๆ มีขนมหน้าตา Pinterest มากมายให้เราซื้อมาถ่ายรูป ขนมไม่ใช่แต่สวย แต่ยังอร่อยด้วย กาแฟนี่เป็นเซอร์ไพรส์ คิดว่าถูกปากที่สุดตั้งแต่เดินทางมาประเทศญี่ปุ่นหลายๆ ครั้งเลย ด้านในร้านติดแอร์ แต่เราออกไปนั่งด้านนอก ที่เป็นสตูลบาร์ หันหน้าเข้าหาน้ำ แดดออกแล้ว อากาศดี ลมเย็น ฝั่งตรงข้ามเป็น City’s Central Public Hall และพิพิธภัณฑ์
The Museum of Oriental Ceramics
จากร้านกาแฟ ข้ามสะพานไปยัง พิพิธภัณฑ์เซรามิค ด้านล่างเป็น Reception ชั้นสองเป็นที่จัดแสดงเซรามิก ความพิเศษของที่นี่ คือการแสดงงานเซรามิคด้วยแสงธรรมชาติ โดยใช้กระจกและการหักเหของแสง นั่นหมายถึงพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะใช้ไฟฟ้าในการแสดงงานน้อยมาก ซึ่งการจัดแสงภายในไม่ได้แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นๆ เลย แสงนุ่มนวลสวยงามดี ราคาตั๋ว 500 เยน ถ้าเอาเครื่องช่วยบรรยายภาษาอังกฤษจ่ายเพิ่มอีก 300 เยน เราเลือกแบบที่มีหูฟังด้วย การเล่าเรื่องจะเล่าจากห้องชุดจัดแสดงเครื่องเซรามิคของจีนเริ่มต้นที่ราชวงศ์ถัง ไล่มาที่เกาหลีเริ่มต้นที่ ยุคโครยอ โชซอน แล้วจึงมาเป็นเซรามิคญี่ปุ่น เพลินมากๆ เราจะเข้าใจวิวัฒนาการฃองเซรามิคและหลงรักเครื่องปั้นมากขึ้น
เรากลับมาเดินเล่นที่นัมบะช่วงเย็น ก็พบว่าทุกที่หนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว ทุกร้านคิวแน่นมากตัดสินใจกินร้านเดิมแต่เปลี่ยนสาขา Isomaru Suisan Namba สั่งปูอ่องกับหอยต้มมากิน เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี คนเยอะไปหมด แล้วก็กลับไปนอน ตื่นเช้า จิบชาเขียวมัทฉะสำเร็จรูปที่ซื้อมาลอง แล้วพบว่ามันอร่อยมาก กินกับขนมที่ตุนไว้ กับบรรยากาศดีๆ ยามเช้าที่เมฆฝนจากลาไปแล้ว รู้สึกสดชื่นมาก เพื่อนชวนไปเที่ยวดินแดนฮิปสเตอร์แห่งโอซาก้า มีชื่อว่า Orange Street
Sukiya スキヤ Namba.
ด้วยความรอบคอบเกรงว่าวันนี้วันอาทิตย์ร้านอาหารจะไม่เปิดเลย เตรียมรองท้องที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดง่ายๆ คือร้าน Sukiya มีสาขามากมายเข้าไปด้านในมีแต่คนหนุ่มสาววัยรุ่นถือเป็นการรับอรุณด้วยอาหารตาดีๆแต่นิดเดียวสงสัยว่าวัยรุ่นพวกนี้เขายังแต่งสไตล์เจป๊อบกันอยู่นั่นมันเกือบยี่สิบปีแล้วแต่ด้วยเบ้าหน้าและผิวพรรณที่ดีน้องๆจึงดูไม่ขัดหูขัดตามากนัก ราคาก็น่ารักสมกับเป็นอาหารชุดวัยรุ่น
เดินเล่นที่ Orange Street
เรามาถึงเที่ยงๆ เห็นคนปั่นจักรยานฟิกซ์เกียร์เต็มไปหมด ผู้คนแต่งตัวมี Theme คือ จะพังค์ จะวินเทจ จะโบโฮ ฮิปฮอป คือ ไม่เด๋อเลย น่าเสียดายที่ร้านขายของอาหารส่วนใหญ่ปิด แต่กระนั้นเดินเล่นไปเรื่อยๆ ย่านนี้ ก็ยังเห็นร้านสวยทุกร้าน ขายของเพื่อรสนิยมโดยแท้ เซรามิคทำมือสวยๆ เสื่อทอแบบญี่ปุ่น ตั้งแต่กระเป๋าสวยๆ ที่ทำมืออยู่ชั้นสอง หน้าตาแข็งแรง และน่าใช้มาก ราคาอันที่จริงก็พอๆ กับกระเป๋ากล้อง Kata เริ่มที่ราวๆ 5,000 บาท ไปจน หมื่นกว่าบาท อยากได้มาก แต่สถานภาพการเงินช่วงนี้ยังไม่พร้อม เลยต้องได้แต่ลูบคลำไปก่อน น้องชายน่ารักพนักงานขายกระเป๋าบอกเราเว่า มีร้านกาแฟที่คนที่นี่ชอบไปกินกัน ชื่อ Mondial ให้ไปลองดู
Mondial Kaffe 328
ร้านกาแฟที่เก๋ และกาแฟโปรดีจริงๆ หอม เข้ม อร่อย เป็นร้านที่สองที่ประทับใจถัดจาก Brooklyn หลายทริปที่มาญี่ปุ่นไม่ค่อยเจอกาแฟถูกใจเลย ร้านนี้คล้ายๆ ร้าน Brooklyn คือขนมหน้าตาน่ากิน บรรยากาศอินเตอร์ และลูกค้าที่ดูฮิปๆ เหมือนๆ กัน
ด้วยความที่วันนี้วันครอบครัวเราจึงเห็นครอบครัวชาวญี่ปุ่นปั่นจักรยานไปเที่ยวสวนสาธารณะ เที่ยวสนามเด็กเล่น ปิกนิก แถบนี้ดูเป็นย่านที่พักอาศัยมากกว่าย่านอื่นๆ ที่เคยไปมา เดินไปเดินมาหิวแล้ว แต่ก็หาร้านอาหารไม่ได้เลย เรามาหยุดอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง หน้าตาเหมือนร้านอาหารแถวๆ ตลาดสมเพชรช่วงที่การท่องเที่ยวบูมๆ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ขายพวก Omurice และHamburger ราดข้าว แต่คิวยาวมาก ทนหิวไม่ไหวเลยเดินไปเรื่อยๆ ไปเจอ ร้าน That’s Pizza
That’s Pizza
เป็นร้านที่ตกแต่งแบบที่นิยมกันตอนนี้ ใช้ไม้และสังกะสี เป็นส่วนประกอบในการตกแต่ง ภายในมีเตาพิซซ่าที่ใช้ฟืน ส่วนประกอบที่ใช้ทำอาหารชิมปุ๊บนี่รู้เลยว่า เขาใช้ทุกอย่างโฮมเมดเกือบหมด นักเก็ตส์ไก่ นี่หน้าตาบ้านมาก มาแบบชุบแป้งใส่ไข่เลย รสชาติดีทีเดียวค่ะ ไม่ได้ลองพิซซ่าหน้าตายั่วๆ เพราะไม่ได้หิวจัดขนาดนั้น และเขาไม่ได้มีบริการห่อกลับด้วย เลยกินอะไรเบาๆ กันไป
Café Weg
ความที่ทริปนี้แต้มบุญกาแฟดีมากๆ เลยอยากจัดร้านกาแฟอีกสักที่ เพื่อนบอกว่าร้านนี้เป็นร้านที่คั่วกาแฟเอง และทำขนมเอง ขนมมีชื่อเสียงขนาดที่ว่าบล็อกเกอร์ไทยเข้าไปเขาห้ามถ่ายรูปขนมกันเลยทีเดียว เหมือนเป็นสูตรลับของทางร้าน เราก็เลยตั้งความหวังไว้สูงมากๆ คิดว่าถ้าเราถ่ายรูปเขาจะไล่เราไหม 5555
ด้านในร้านมีเครื่องคั่วกาแฟโชว์ มีส่วนที่เป็นบาร์ ราวๆ 6-7 ที่ มีโต๊ะนั่งสองโต๊ะ ทั้งร้านเงียบเหมือนปักกลดวิปัสสนา ทั้งๆ ที่ส่วนของบาร์เคลื่นไหว ทุกคนนั่งอ่านหนังสือ จิบกาแฟ กินขนม เราสองคนเข้าไปนั่งแทบจะไลน์คุยกัน แล้วก็มาถึงการสั่งขนม มันคือลิสต์ ขนมเดียวกับที่ขายในมูจิเลยค่ะ ได้แก่ Baumkuchen (ปกติเป็นแยมโรลบางๆ ซ้อนกันหลายเลเยอร์ที่หลายๆ เพจเขาบอกว่าเหมือนวงปีของเนื้อไม้) ของร้านนี้จะเป็นโรลหนาๆ เหมือนแยมโรลบ้านเรามีเนื้อมะพร้าวอ่อนและแยมแทรกระหว่างเลเยอร์ อีกตัวที่สั่งคือ Madelaine ขนมไข่รูปหอย ของฝรังเศส ทั้งสองตัวหน้าตาธรรมดา แต่ที่พิเศษก็คงเพราะใช้วัตถุดิบที่ดีกว่าที่มีในท้องตลาด พอกินแล้วเราก็ว่าเฉยๆ 5555 ต่อมขนมไม่มีนานแล้ว อีกตัวหนึ่งในลิสต์ที่ไม่ได้สั่งคือ Financier ขนมไข่รูปสี่เหลี่ยม ขนมไข่ชิ้นเล็กๆ นี่ราคา 230 เยน และแยมโรล 300 เยน แต่ที่พิเศษคือกาแฟมากกว่า มันเป็นกาแฟญี่ปุ่นที่รสไม่หนาแต่ดีดใช้ได้ ทำให้คึกตลอดบ่ายเลย
มื้อเย็นที่ Namba
เย็นนี้คิดว่าจะไม่กินอะไร นึกไปนึกมา ออกมาเสียหน่อยก็ได้ แต่ไปทางไหน ก็คนยุบยั่บไปหมด เลยท้อ เห็นร้านเดียวที่ไม่มีคิวเลย เป็นร้านทงคตสึราเมง ที่ติดป้ายไว้ว่ามีทงคตสึรสเผ็ดด้วย ก็เลยมาลองดู
東大Todai
เป็นร้านราเมงแบบสตูลบาร์ ทั้งหมด มีสองชั้น แต่นี่ชั้นเดียวยังไม่เต็มเลย ทั้งๆ ที่ร้านอื่นคนแน่นมาก …เรายังไม่เอะใจ สั่งราเมนพิเศษ 1,100 เยน และ ราเมนต้นหอมเผ็ด 700 เยน (รวมเบียร์แล้วเป็น 1,280เยน) มานั่งกินกัน แล้วพบว่า น้ำทงคตสึนั้นเป็นน้ำที่เข้มข้นอยู่แล้ว แต่ร้านนี้จะมีกลิ่นพะโล้หน่อยๆ (ในเซ็ทพรีเมียม) น้ำค่อนข้างเลี่ยนและมัน เปรียบเทียบกับร้านราเมงข้อสอบ ร้านนั้นมันเข้มข้นจริง แต่เป็นระดับที่ไม่เลี่ยน คือกินได้เรื่อยๆ อาจจะเพราะเขาใช้สามชั้นมาประกอบด้วย มันเลยมันย่อง คำเมืองเรียกว่า อะยึอะยึ่ง ฮ่าๆๆๆ ไปทั้งถ้วย ส่วนที่เป็นราเมงเผ็ดนั้น ก็ค่อนข้างเค็มไปนิด ออกมาด้วยความเข้าใจ ว่าทำไมไม่มีคนเท่าที่ควรจะเป็น แต่คนที่ชอบพะโล้มันๆ นี่น่าจะชอบอยู่
Bubble Lounge
อยากจะไปที่ไหน ก็ดูจะคนเยอะไปหมด ด้วยความที่เป็นคนชอบร้านนั่งดื่มเงียบๆ เลยเดินหาร้านที่คนไม่พลุกพล่านนัก ออกจากแหล่งท่องเที่ยวไปยังแหล่ง เซเลอรีแมนก็มาเจอร้านที่อยู่ชั้นบนของ คอมมูนิตี้มอลเล็กๆ บนถนน Sakaisuji ไม่ไกลจากโรงแรมมาก ร้านมีอาหารขายง่ายๆ วันนี้วันอาทิตย์ ร้านที่อยู่ติดๆ กันปิดหมด เหลือร้านนี้เปิดร้านเดียว บรรยากาศนั่งสบาย ขายค็อกเทล เครื่องดื่มพวกไวน์ แก้วละ 600 เยน ร้านมีแค่3โต๊ะ ที่บาร์มีเก้าอี้ 4 ตัว นั่งดื่มไปดูคนสัญจรบนถนน เงียบๆ เพลินดี เพลงเพราะ Shu เปิดบาร์มาได้ 3 ปีแล้ว ทำอาหารเอง ทำเครื่องดื่มเอง เปิด 18.00-02.00 น. ทุกวัน
อำลาโอซาก้า
ความที่เป็นมนุษย์ย้ำคิดย้ำทำ เพื่อนกลัวจะตกเครื่อง เลยพยายามหาที่ Hangout แถวๆ สถานีที่จะขึ้นรถหัวกระสุนไป Kansai Airport เครื่องออก 5 ทุ่ม เรามาห้างแถบนั้น ตั้งแต่ 11 โมงจึงใช้เวลาไปกับการเดินเล่นในห้างและกินเพื่อรอเวลา
Fukuju kan 福寿館.
ร้านอาหารชั้น 9 ในห้าง Takashimaya ที่โดดเด่นเรื่องเนื้อ เราจึงสั่งชุดข้าวหน้าเนื้อ และชุดข้าวสุกี้เนื้อ ทั้งสองเซ็ทอลังการและอร่อยสมราคามากๆ เซ็ทสุกี้ราคา 2,700 เยน มาพร้อมซุป ข้าว ไข่ดิบ และผักดอง และข้าวหน้าเนื้อ 2,160 เยน กินให้นานที่สุดเพราะขี้เกียจเปลี่ยนร้าน 5555
การเดินทางของแต่ละคนมีความประทับใจต่างกันแล้วแต่ จริตของแต่ละคน และเป้าหมายการเดินทางของแต่ละคน ในช่วงเวลาที่เราอายุน้อย เราจะพยายามเที่ยวให้มากที่สุด อยากเห็นหลายๆ ที่ใน 1 วัน แต่พอเราเดินทางบ่อยๆ เข้า เราจะรู้สึกว่า การได้เห็นนั้น ไม่ได้จำเป็นอีกต่อไป แต่การได้รื่นรมย์กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลากับตัวเอง ซึมซับรรยากาศรอบตัว เที่ยวแบบไม่เหนื่อย กลับกลายเป็นการเดินทางที่สนุกสำหรับเรา การไปคลับกลับเช้า ตามที่ต่างๆ ไม่มีความจำเป็นและไม่มีความหมายอีกต่อไป…สวัสดีโอซาก้า…แล้วเราคงได้พบกันอีก