โลกไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ฮวงซีเนี้ย
วิวรอบทะเลสาบซีหู บริเวณสะพานขาด ความงามที่มีโอกาสเพียง Window Shopping
ในการเดินทางอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ วันนี้เราเช่ารถตู้ในราคา 800 หยวนสำหรับหนึ่งวัน ให้พาเราไปพิพิธภัณฑ์อาหาร พิพิธภัณฑ์ชา วัดหลิงยิน ซึ่งเป็นวัดใหญ่ของเมืองหางโจว เราได้คนขับรถเป็นผู้หญิงยิ้มยากวัยประมาณ 20 ปลายๆ หรือ 30 ต้นๆ เธอดูจริงจัง พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เราพยายามสื่อสารกับเธออย่างสุดความสามารถ โดยให้พนักงานโรงแรมเขียนชื่อสถานที่ที่เราต้องการจะไปให้เธอไว้
โดยที่โปรแกรมดังกล่าวนั้นเราก็ไม่มั่นใจว่าเราจะใช้เวลานานแค่ไหน อย่างพิพิธภัณฑ์อาหารนั้นเป็นสถานที่ที่แอนต้องการจะไป เพราะต้องใช้เป็นข้อมูลในการเขียนบล็อค อาจใช้เวลานนาน และเราก็ไม่รู้ว่าแต่ละที่ไกลกันแค่ไหน
รูปปั้น “ลู่อวี่” กลางสวนเขียว ผู้รจนาคัมภีร์ชาเล่มแรกของโลก (733-804 ในสมัยราชวงศ์ถัง) ที่พิพิธภัณฑ์ชา
เริ่มต้นวันด้วยร้านก๋วยเตี๋ยวที่ดูดีหน้าปากซอยแต่ไม่อร่อย กินยังไม่ทันหมดหญิงยิ้มยากก็เข้ามาเร่งให้ออกเดินทางเพราะว่าแดดร้อน นางสื่อสารกับเราด้วยการพิมพ์ข้อความใส่แอ๊บ google translate ในไอโฟนของข้าพเจ้า
เราไปที่พิพิธภัณฑ์อาหารเป็นที่แรก นางปล่อยเราลงที่หน้าประตูแล้วจอดรอ เราต้องเดินขึ้นเขาไปบนอาคารแสดงงานเพื่อพบกับความผิดหวัง เพราะพิพิธภัณฑ์เปิด 10.30 น. เราเดินลงจากภูเขามา เหงื่อท่วมตัว ก่อนลงมาถามยามเรียบร้อยว่านำรถขึ้นมาได้ เมื่อมาถึงรถจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่พิพิธภัณฑ์ชาก่อน
กาน้ำชาลายโบราณที่อยู่ในสภาพดีแม้กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
ประเทศจีนมีการจัดการเรื่องพิพิธภัณฑ์ดีมากๆ ที่พิพิธภัณฑ์ชามีการแสดงเรื่องราวของชาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวจีนในแต่ละยุคได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะภาชนะสำหรับดื่มชานั้นถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดื่มชา ที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะขั้นสูงที่สอดแทรกสุนทรียะไว้ในชา ซึ่งอยู่ในวิถีชีวิตของชาวจีนตั้งแต่ฮ่องเต้จนถึงประชาชนคนธรรมดา
หม้อต้มชาที่่สามารถใส่ฟื้นต้มน้ำเข้าไปที่หม้อ มีช่องใส่น้ำ ใช้สำหรับการชงชาให้คนปริมาณมากๆ
ในเมืองจีนจึงมีร้านชาที่มีชาหลากหลายให้เลือกซื้อหา เมื่อออกจากพิพิธภัณฑ์มา หญิงยิ้มยากของเราก็กุลีกุจอหาถังน้ำไปตักน้ำในลำธารน้ำใสๆ มาให้เราล้างหน้าแก้ร้อน แล้วเราก็ไปต่อที่วัดหลิงยิน เมื่อไปถึงก็ต้องตกตะลึงกับกองทัพผู้คนจำนวนที่เข้าแถวซื้อตั๋ว เราเดินดูรอบๆ ก็ยังไม่เห็นตัววัด เห็นแต่คน ถนนทางไปสู่วัดก็มองไม่เห็นพื้นถนนเห็นเพียงหัวคนจำนวนมาก หญิงไทยใจไม่เยอะพอที่จะฝ่าฟันเข้าไปดูศิลปะจีน จึงพากันกลับมาที่รถเพื่อไปกินอาหารเที่ยง
ถนนสองข้าทางร่มรื่นด้วยต้นไม้ ไม่มีสายไฟระเกะระกะรกสายตา มีเลนให้จักรยานวิ่ง
ร้านที่เราไปกินอาหารเที่ยงที่ร้านบะหมี่ที่แฟนคลับของลานนาแนะนำมา หน้าตาบะหมี่ดูน่ากิน แต่ก็รู้สึกว่างั้นๆ ไม่ค่อยเท่าไรนัก วันนี้เราคงไม่มีโชคสักเท่าไร จากนั้นเราก็ไปที่พิพิธภัณฑ์อาหารอีกรอบ พิพิธภัณฑ์นี้เป็นอีกที่หนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวอาหารของชาวหางโจว สิ่งที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์คืออาหารจำนวนมากที่จัดแสดงไว้อย่างสวยงาม การให้แสง การจัดวาง ศิลปะที่นำมาแสดง เนื้อหาแสดงถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อาหารของชาวจีน โดยโฟกัสที่อาหารของหางโจว ปลาจากทะเลสาบซีหู วัฒนธรรมการกิน ความสนใจเรื่องอาหารของชาวหางโจวตั้งแต่โบราณถึงขนาดมีกูรูทางด้านอาหารประจำเมืองเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อได้กินอยู่ในหางโจว ได้สัมผัสรสชาติอาหารที่อร่อยมากๆ ในเกือบทุกร้านแล้วก็ไม่แปลกใจ ที่เมืองๆ นี้จะมีพิพิธภัณฑ์อาหารประจำเมือง
เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการดื่มกินจริงๆ
ภาพแห่งความรื่นรมย์ในการดื่มด่ำกับรสชาติแห่งอาหาร
ภาพความวุ่นวายของตลาดและอาหารที่ขายในเมือง แสดงถึงความรุ่งเรืองด้านอาหารที่มีมานับแต่โบราณกาล
ภาพงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยนานาอาหาร
ดิสเพลย์ที่จัดวางแสงสีได้สวยงาม ชวนหิว
ออกจากพิพิธภัณฑ์อาหาร เราขอให้หญิงยิ้มยากขับรถพาเราชมรอบทะเลสาบ ซึ่งนางมีปัญหากับเรื่องเวลา แสดงอาการฮึดฮัดและโทรศัพทืไปที่โรงแรมให้คุยกับเรา สำเนียงภาษาของนางนั้นโหวกเหวกโวยวายจนต้นไม้สองข้างทางอันสวยงามนั้นหม่นหมองไปในสายตาของเรา
เป็นครั้งแรกที่เราไม่มีคำขอบคุณให้กับคนที่ทำงานให้เรา หลังจากจ่ายเงินให้นางแล้ว เราก็แยกจากกัน
แม่น้ำสายหนึ่งก็ย่อมมีทั้งเรือมังกร และแพผุๆ เราอาจเลือกจุดหมายปลายทางในการเดินทางของเราได้ แต่เราไม่อาจเลือกสิ่งที่ต้องพบเจอได้
หรือนี่เป็นเสน่ห์หนึ่งของการเดินทาง ที่ทำให้เราต้องค้นหา ฝึก และปรับใจของเราให้อยู่ในอุณหภูมิอย่างที่ควรจะเป็น