ไปมาเหมือนลมพัด หางโจว-เซี่ยงไฮ้ 1
by Houng Si Nia
บรรยากาศเมืองเก่าที่หางโจว
ฮวงซีเนี้ยจะท่องยุทธภพ
ฟังดูดีน่าเร้าใจทีเดียวสำหรับการเดินทางในครั้งนี้
เริ่มจากแอร์เอเชีย ได้เปิดเส้นทางบินตรงเชียงใหม่-หางโจว ขึ้น และการตลาดยุคใหม่นี้เขามุ่งไปหาบล็อคเกอร์กันส่วนหนึ่ง บล็อค go2askanne (www.go2askanne.com) ของน้องแอนเพื่อนร่วมงาน หุ้นส่วนของข้าพเจ้านั้น เป็นบล็อคแนะนำอาหาร ด้วยความที่แอนเป็นคนชอบกิน ชอบอาหาร นางก็เอาดีทางนี้ด้วยการเขียนบล็อคมาได้สองปีกว่า มีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง
การตลาดของแอร์เอเชียร์เลือกบล็อคเราเป็นหนึ่งในแผนการโปรโมทเส้นทางนี้ด้วยการให้ตั๋วเครื่องบินสองที่นั่งและพ็อคเก็ตมันนี่จำนวนหนึ่ง ให้เราไปกินไปเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค
ท่องเมฆ บนน่านฟ้า
เมื่อการเดินทางเริ่มขึ้นก็มีผู้ร่วมทางมาสมทบอีก 4 คน หนึ่งในนั้นคือ ลานนา คัมมินส์ ที่อยู่ในชั้นเรียนภาษาจีนที่เชียงใหม่กับเรา
ก่อนเดินทางจะว่าง่ายก็ง่ายในโลกยุคนี้ เพราะเราเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย มีเวบไซต์หลายเวบให้หาข้อมูล ความที่ทุกคนที่ร่วมทางล้วนเป็นเจ้าของกิจการ มีงานที่ยุ่งเหยิงกันโดยถ้วนทั่ว รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย การเดินทางจึงเลื่อนออกไปเรื่อยๆ เพราะการไปแบบจัดการเองนี้ไม่ง่ายนักที่จะเลือกโรงแรม ย่านที่จะอยู่ใกล้ที่กินที่เที่ยวไหม มีสิ่งอำนวยความสะดวกไหม เพราะการไปจีนโดยไม่ไปกับทัวร์นั้น เราต้องเดิน หรือไม่ก็ขี่จักรยาน หรือไม่ก็แท็กซี่ เราใช้เวลาไปกับเวบ www.hostelworld.com เป็นเดือนเพื่อเลือกโรงแรม โดยอ่านรายละเอียดที่มีในเวบ ดูที่ตั้ง
แล้วเราก็ได้ที่พักจากเวบนี้ ที่หางโจวเราเลือก Hofang International Youth Hostel โรงแรมเป็นบ้านแบบโบราณตั้งอยู่ในย่านที่ไม่ให้รถเข้ามา ที่ถนน Hogang ซึ่งเชื่อมต่อกับถนนช็อปปิ้งคล้ายๆ ถนนคนเดินของเมืองนี้ ถนนปากทางเข้าโรงแรมเป็นประตูเมืองโบราณใหญ่โต มีประตูโค้งคล้ายอุโมงค์ให้เดินลอดผ่านเข้าไป เมื่อเดินกลับโรงแรมทีไร ก็รู้สึกว่าเรากำลังเดินผ่านอุโมงค์ย้อนเวลาไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง โลกที่แปลกตา แตกต่าง ไม่คุ้นเคย
แสงไฟนวลฉาบตึก แม้เดินทางมาถึงในยามวิกาล แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของเมืองลดน้อยลง
เราออกจากเชียงใหม่ 17.45 น. โดยเครื่องบินแอร์เอเชีย ใช้เวลาบินประมาณสามชั่วโมงครึ่ง เป็นเครื่องบินที่คึกคักที่สุดที่เคยขึ้นเครื่องมา เพราะคนจีนเต็มลำ ตลอดเวลาบนเครื่องเต็มไปด้วยเสียงคุยกัน กินขนม กินมาม่า ฯลฯ เมื่อลงจากเครื่องบินเข้าสู่ตัวอาคารสนามบินหางโจว ก็เข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ถึงหางโจวเวลาประมาณห้าทุ่ม เราเรียกรถแท็กซี่เข้าเมือง ทางเดินเข้าสู่โรงแรมกลางดึกนั้นเงียบสงบ เพราะร้านรวงปิดหมดแล้ว เราเหมือนเดินเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง โลกของจีนโบราณ ถนนแคบๆ มีแสงไฟที่จัดได้ไม่รกสายตา ทุกคนแฮปปี้กับที่พัก และบรรยากาศ สต๊าฟที่โรงแรมเป็นเด็กๆ ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และมี service mind
เครื่องบินมาถึงก็ดึกแล้ว ทุกคนหิวโซกเลยเดินออกมากินปิ้งย่างหน้าประตูเมือง ยามค่ำคืนของหางโจวมีกลิ่นอย่างหนึ่งที่ประทะจมูกอย่างแรง เป็นกลิ่นจีนที่มีลักษณะเฉพาะบอกไม่ถูก เราเปิดทริปหางโจวด้วยอาหารสตรีทฟู้ด และเบียร์ชิงเต่า ดับความร้อนของค่ำคืน ก่อนเดินกลับโรงแรม กว่าจะหลับได้คืนนั้นก็ตีสามด้วยความตื่นเต้นอยากเห็นยามเช้าของหางโจว อยากรู้ว่าแสงเป็นอย่างไร อากาศเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าต้องข่มตาให้หลับ
แสงเช้าของวันแรกผ่านกระจกของร้านShine ที่โรงแรม
วันแรกที่คาดว่าจะตื่นสายนั้นข้าพเจ้าตื่นก่อนคนแรก ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ออกมาเดินที่หน้าโรงแรมเก็บแสงเช้า พากล้องมาออกรอบ อาคารบ้านเรือนเป็นอย่างที่คิด เสียงยามเช้าของหางโจวในถนนสายโบราณนี้มีอากง อาม่า และสาวๆ หนุ่มๆ ขี่จักรยานไปมา วันแรกเรากินกาแฟ และอาหารเช้าที่คอฟฟี่ช็อฟในโรงแรม และออกเดินไปทะเลสาบซีหู
แสงแดดแผดจ้าที่แผดเผาเราวันนั้น ทำให้ระยะทางกิโลกว่าๆ ไกลมากขึ้น การอยู่เมืองไทย เกิดเป็นคนไทย อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เมืองที่สบายแสนสบาย และไม่มีขนส่งมวลชนที่ดี ทำให้พวกเราต้องใช้รถส่วนตัวตลอดเวลา ส่งผลให้ร่างกายของข้าพเจ้าไม่ทนทานกับการเดินนานๆ และความร้อนของวันทำเอาวันนั้นย่ำแย่ไปเหมือนกัน
ทางเดินในตรอก Dajing ยามสาย
เดินไปถึงทะเลสาบซีหูก็เที่ยงพอดี ร้านแรกที่เจอเป็นร้านอาหารริมทะเลสาบ อาหารอร่อย บรรยากาศดี เราสั่งปลานึ่ง หน้าตาของปลาคล้ายกับปลาบู่ อาหารจีนมื้อแรกริมทะเลสาบซีหูยามร้อนร้ายแบบนี้ก็ไม่ทำให้วันเวลาว่างเปล่าจนเกินไปนัก
ใบหลิวสงบนิ่ง ทว่าเขียวตระหง่านงาม
อิ่มอาหารกลางวันแล้ว เราเดินเข้าไปในบริเวณริมทะเลสาบ ผ่านป่าเขียวฉ่ำ มีทางเดินเล็กๆ ลัดเลาะเข้าไป มองไม่เห็นทะเลสาบหรอก แต่ใช้แผนที่ไอโฟนเปิดดูก็ทำให้รู้พิกัดที่เรายืนอยู่ และเดินไปตามทิศนั้น ถึงริมทะเลสาบอย่างง่ายดาย ที่ริมทะเลสาบมีเรือให้เช่าพาเราออกไปกลางทะเล กลุ่มแรกที่เห็นใช้แรงคนพาย ราคาเที่ยวละเท่าไรไม่ได้ถาม เพราะเราอยากนั่งเรือลำใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องจักร เพื่อความปลอดภัยของเราเอง ค่าเรือคนละห้าสิบหยวนไปกลับ เรือจะพาเราไปเกาะกลางน้ำซึ่งเป็นเกาะชมจันทร์ แต่สภาพวันนั้นร้อนตับแตกเกือบเป็นลม คนเยอะมาก มากจนเริ่มเฉา เมื่อลงเรือก็ต้องเดินอีก จริงๆ ถ้าอากาศดีๆ ก็คงไม่เท่าไรนัก เพราะบนเกาะมีต้นไม้ร่มรื่น เราเดินกันได้ครึ่งเกาะ ก็กลับโรงแรม พักผ่อน อาบน้ำนิดหน่อย
ภาพที่พบเห็นบ่อยในฤดูร้อน ผู้คนต่างหาวิธีดับร้อนต่างกันไป
แอนตั้งใจจะไปกินร้าน The Grandma ซึ่งเป็นร้านแนะนำของเมือง ขณะที่เราเดินออกไปขึ้นแท็กซี่ ก็ผ่านร้านร้านหนึ่ง มีเป็ดพะโล้หน้าตาดูโปรมากๆ แล้วเราก็เปลี่ยนแผนจากร้านอาม่ามาเป็นร้านอาแปะเป็ดพะโล้เจ้านี้ ร้านป็นร้านเล็กๆ ห้องแถวสองห้อง แปะพาเราเดินขึ้นบันไดแคบๆ ขึ้นไปบนชั้นสอง ที่บันไดมีกีต้าร์ และเครื่องดนตรีแขวนอยู่ ใครสักคนพึมพำว่าร้านนี้ต้องเป็นนักดนตรีแน่เลย
อาหารมาแล้ว ทันทีที่ลิ้มรสเป็ดย่างความคิดถึงพ่อก็ท่วมท้นหลั่งไหลออกมากับเป็ดจานนั้น อยากให้พ่อฟื้นคืนชีวิตขึ้นมากินอาหารมื้อนี้ด้วยกัน อาหารอื่นๆ ก็อร่อยมากๆ ด้วยเช่นกัน แอนพยายามใช้ภาษาจีนที่มีอยู่สอบถามข้อมูลอาหารจากแปะ แปะก็พยายามอธิบายโล้งเล้งๆ ดูน่าเหนื่อย นี่เพิ่งเริ่มต้นวันแรกเท่านั้น
เดิน เดิน และเดิน
ข้าพเจ้า แอน และลานนา เรียนภาษาจีนในชั้นเรียนเดียวกันก่อนมาสักสองเดือน ยังแอบแซวว่าได้ภาษาจีนไม่ถึงร้อยคำพวกเราก็จะท่องยุทธภพกันแล้ว เหล่าซือสั่งเสียก่อนมาว่าสามคนช่วยๆ กันคงอยู่ได้ สำหรับข้าพเจ้าแล้วได้คำว่า หนีห่าว//สวัสดี ตัวฉ่าวเฉียน//เท่าไร เผียนยีเตี่ยนเขออี่มา//ลดได้ไหม ฉีโฉว่เจียนไจ้หน่า//ห้องน้ำไปทางไหน เขออี่มา//ได้ไหม ประมาณนี้ข้าพเจ้าก็ยังชีพในเมืองจีนได้พอประมาณ บวกกับในยุคนี้ที่มีไอโฟน มี application ท่องเที่ยวให้เลือกใช้ ที่มีประโยชน์มากๆ เลยก็คือแผนที่ของไอโฟนที่ติดมากับโทรศัพท์ เวลาขึ้นรถลงเรือ ก็เปิดแผนที่ พิกัดที่เราอยู่จะเลื่อนไปเรื่อยๆ ทำให้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน ใกล้หรือไกลจากจุดหมาย ยังไม่นับ app แปลภาษา app สอนภาษาจีน ที่มีคำจำเป็นต้องใช้แยกไว้เป็นหมวดหมู่ มีเสียงคนอ่านให้เรียบร้อย
เดินแล้วก็พักนั่งเรือบ้างไรบ้าง
กลับมาที่ร้านอาแปะ ตอนเช็คบิลล์เราพยายามใช้ภาษาจีนของเราสื่อสารกับป้าๆ ในร้านที่มาเก็บโต๊ะ คนจีนพอเห็นเราพูดภาษาจีนเขาก็พูดตอบกลับมาเป็นพายุภาษาจีน ซึ่งทำให้เราเหวอ โดยเฉพาะลานนาเจอป้าสามคนพูดแบบตะโกนใส่หน้าแบบไม่ยั้ง สตั๊นไปเหมือนกัน จนต้องรีบบอกว่าเราไม่ใช่คนจีน เราเป็นคนไทย ฮาฮา // ก่อนกลับเราได้ยินเสียงดนตรีดังจากข้างล่าง เลยสงสัยว่าอาแปะตั้งวงเล่นให้เราฟังแล้วกระมัง เมื่อเราเดินลงมาก็พบว่าส่วนที่เป็นโต๊ะกินข้าวของแขกนั้น กลายเป็นที่นั่งของอาแปะสามคน แปะเจ้าของร้านตีขิมอยู่ตรงกลาง อีกคนสีซอ และอีกคนดีดอะไรสักอย่างคล้ายๆ กีต้าร์แต่ตัวกลมๆ เพลงจีนที่เล่นเป็นเพลงกล่อมเด็กของคนจีน เสียงซอหวานอ่อนอ้อนอ่อนโยน ข้าพเจ้าและทุกคนตกตะลึง นั่งฟังเพลงอีกสองสามเพลงมาฟังอาแปะกัน
[youtube https://www.youtube.com/watch?v=HvmRo-gHOxk&w=560&h=315]
ฝีมือของอาแปะกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเพลงที่สองนั้นแปะเจ้าของร้านเปลี่ยนจากขิมมาสีซอ โซโล่กับเพื่อนอีกคนใส่กันอย่างเมามันเป็นพายุตัวโน้ต ท่ามกลางบรรยากาศรอบข้างเป็นลูกค้าเดินเข้าออก เสียงเชฟทำอาหารในครัวและเดินออกมาปรบมือเมื่อเพลงจบ บางครั้งเคาะกระทะเป็นจังหวะไปด้วยข้าพเจ้าควักขาตั้งกล้องตัวเล็กออกมาตั้งกล้องถ่ายวิดีโอ คิดถึงพี่เอ๋ช่างกล้องวิดีโอคู่ใจจริงๆ ขณะที่เพลงบรรเลงราวกับอยู่บนเวทีใหญ่ๆ นั้น ร้านอาหารก็ยังไม่ปิด เชฟทำอาหารเสร็จก็เดินเอาอาหารออกมายื่นให้ป้าอีกคนนำไปเสริฟ ผ่านหน้าเวที หน้ากล้อง ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองในสถานที่เดียวกันราวกับไม่มีอะไรแปลกแตกต่าง เป็นความแตกต่างที่อยู่กันได้อย่างไรก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ในความวุ่นวายความสงบหาได้แค่เพียงเปิดประตูห้องนอนโรงแรม
เป็ดทำให้คิดถึงพ่อ เสียงซอทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงก๋งยิ่งนัก ตอนเด็กๆ ก๋งจะสีซอร้องเพลงงิ้วให้ฟังก่อนนอน ภาพความทรงจำของบ้านห้องแถว เตียงและที่นอนนุ่นกลิ่นอับชื้นของก๋งที่เป็นกลิ่นซึ่งลูกหลานจำติดจมูกและเรียกมันว่ากลิ่นที่นอนก๋งลอยมาแตะจมูก
ความทรงจำบางอย่างไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เราเก็บมันไว้ในที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งสงบ งดงาม และเราจะหยิบออกมาเมื่อเวลาเหมาะสม
เช่นวันนี้….